Human Vs Machine
26 May 2011 7:03 PM (13 years ago)

จริงๆผมตั้งใจจะเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมีน้องๆสงสัยว่าทำไมในกองทุนผมถึงต้องเน้นทำงานหนักทางด้าน Quant ด้วย และวางแผนงานด้านสงครามการเงินมานานหลายปี จนถึงต้องเข้าไปทำงานในเฮดจ์ฟันประเภท funds of fund เพื่อศึกษาระบบโมเดลของเฮดจ์ฟันรุปแบบต่างๆเท่าที่ความสามารถของสมองจะทำได้ เป็นต้น ถึงแม้ในยุคปัจจุบันเราอาจจะยังไม่เห็นความสำคัญเท่าไรนัก แต่ผมเชื่อว่าในอนาคตมันจะเป็นเรื่องใกล้ตัวพวกเราเพราะพวกนี้จะเติบโตมากขึ้นแล้วคอยฉกชิงเม็ดกำไรจากพวกเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนๆลองดูวิดีโอคร่าวๆ ไปก่อนนะครับ (จะได้เห็นว่าคงไม่ใช่แค่ผมที่ดูบ้าไปคนเดียว อิอิ) เดี่ยวผมว่างเมื่อไรจะมาอัพเดทเกี่ยวกับระบบของ Machine A.I. ต่างๆ ในเฮดจ์ฟันให้ฟัง แล้ว จุดอ่อนของแต่ล่ะระบบความคิดและผลกระทบของแต่ล่ะระบบเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านี้ในอนาคต ขอบคุณมากครับ :)
ต.ย. Model Portfolio MudleyGroup (ย้ำว่าแค่ตัวทดลองนะครับ) ที่ทำการวิเคราะห์โดย A.I ก่อนแปลผลลัพท์ออกมาให้ เทรดเดอร์ในทำตาม จริงๆเราไม่ได้คิดว่าปริมาณวอลุ่มจะเพิ่มขึ้นได้ขนาดนี้ เพราะเป็นแค่การทดลองในระดับต้น ก่อนทดลองดูผลในระดับ Global Macro อีกครั้งหนึ่ง
The Quants
21 May 2011 7:05 AM (13 years ago)

ระยะหลังๆนี้ทางกองทุนของเราได้ใช้เวลาของกองทุนส่วนใหญ่ในการพัฒนาและปรับปรุงโมเดลเทรด ให้ทันสมัยขึ้น ทำให้หัวข้อในการสนทนาภายในกองทุนระยะหลังๆนั้นจะหนักไปทางด้าน Quantitative Analysis
หนึ่งในกระบวนการในการพัฒนาโมเดลนั้นก็คือการศึกษาแนวทางของผู้อื่นทำให้ เพื่อมองหาแนวคิดที่แตกต่างออกไป กระบวนการนี้ทำให้เราได้ทดสอบระบบของเราเองและ เปิดโลกทัศน์ที่แสนแคบของพวกเราให้กว้างขึ้น
เมื่อต้องมองแนวทางของคนอื่น เราก็อดไม่ได้ที่จะไปแอบมองสุดยอด idol ของพวกเรา ซึ่งก็คือ James Harris Simon นั่นเอง หากใครได้เคยอ่านประวัติของเขาแล้ว ก็จะเห็นผลประกอบการณ์ที่สุดยอดของเขา ทางเราเองยังพาลคิดไปได้เลยว่า เหรอนี่คือสุดยอด Madoff
ทั้งหมดมันเริ่มต้นด้วยความบังเอิญ ในขณะที่ทีม Quant กำลังระดมสองแสวงหาโมเดลใหม่อยู่นั้น ผู้จัดการของทุนของเราเกิดอาการนอนไม่หลับจึงไปขุดหนังสือเรื่อง The Quants: How a New Breed of Math Whizzes Conquered Wall Street and Nearly Destroyed It โดย Scott Patterson เจตนาแรกที่ทำให้อ่านก็หาอะไรอ่านก่อนนอนให้หลับง่ายขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่อ่านประวัติของ Quant ชื่อดังหลายๆคนก็มาเจอะกับบทที่พูดถึง Simons
ธรรมดาเรื่องราวของ Simons ไม่ค่อยมีเล็ดลอดออกมาสักเท่าไหร่ เมื่อได้เห็นบทที่เขียนถึง Simons ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ นอกจากพอที่จะคาดเดาวิธีการเอาชนะตลาดของ Simons ได้บ้างแล้ว ก็ยังได้เรียนรู้ถึงความเหนื่อยยากเบื้องหลังความสำเร็จของ Simons ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามข้อมูลของ Simon ที่ Patterson ได้เรียบเรียงมานั้นได้มาจากการสัมพาทย์อดีตพนักงานของ Renaissance และ พนักงานปัจจุบันที่ขอสงวนออกนามเพียงเท่านั้น เพราะ Simons ไม่เคยตอบรับการขอสัมพาทย์ของ Patterson เลย แม้ว่า Patterson พยายามติดต่อไปหลายครั้ง
Simons มีความอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก ซึ่งทำให้เขาสามารถจบปริญญาตรีจาก MIT ได้ภายในเวลาสามปี เดิมที Simons ทำงานเป็นคนถอดรหัสสำหรับหน่วยราชการลับในยุดสงครามเวียดนาม เขาถูกให้ออกเพราะได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวแก่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง ต่อมาได้ไปก่อตั้งภาควิชาคณิตศาสตร์ที่ State University of New York (SUNY) Stony Brook หลังจากที่สอนไปได้หลายปี และพัฒนาภาควิชาคณิตศาสตร์ของ Stony Brook (ในขณะนั้น) จนเป็นที่โด่งดัง เขาก็ลาออก พร้อมกับนักคณิตศาสตร์ในภาควิชาอีกจำนวนหนึ่ง มาก่อตั้งกองทุน ซึ่งกลายมาเป็น Renaissance Technology ในที่สุด กองทุนนี้เป็นกองทุนที่คุมเงินเป็นพันๆล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีคนทำงานไม่ถึงร้อยคน (แต่พนักงานส่วนใหญ่จบปริญญาเอกแทบทุกคน)
โมเดลในการเทรดของ Renaissance นั้นอาศัยวิชาความรู้เดิมจากการเป็นนักถอดรหัสของ Simons ผนวกกับความสามารถทางคณิตศาสตร์ที่เขามี
หลังจากการก่อตั้ง Renaissance ได้สักพัก Simons ก็กว้านซื้อบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเรื่อง Voice Recognition และ Crytography (เป็นคณิตศาสตร์แขนงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการถอดรหัส)
Simons เคยให้สัมพาทย์ว่า ตลาดนั้นมี pattern แต่โชคดีสำหรับผมที่เป็น pattern ที่หาได้ยากมาก ซึ่งทางผู้เขียน (Patterson) ได้สันนิษฐานว่าการหา pattern ตลาดของ Simons นั้นอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดโดยใช้หลักการ Cryptography เพื่อจับ pattern ตลาดและอาศัย Voice Recognition ในการหา pattern ดังกล่าวในข้อมูลที่เกิดขึ้น
เมื่อได้รู้หลักการในการเอาชนะตลาดของ Simons พวกเราก็แทบไม่ได้หลับได้นอน
แต่ทว่าเรื่องราวของ Simons ไม่ได้มีเพียงแค่ด้านบวกเท่านั้น เรื่องราวแปลกก็มีไม่น้อยเช่นกัน Simons เป็นคนที่หวงวิชาอย่างมาก (แค่ข่าวเกี่ยวกับตัวเค้าก็หาได้ยากแล้ว) ดังนั้น Simons จะทำทุกวิถีทางที่จะทำลายอาชีพการงานของลูกจ้างที่ลาออกจากกองทุนของเขา ถ้าไปสืบค้นใน wikipedia จะเห็นว่ามีเพียงไม่กี่คนที่ยอมลาออกจากงาน ที่ให้เงินเดือนบวกโบนัสปีละหลายสิบล้านเหรียญ
พวกเราอดจะขำไม่ได้เมื่อได้รู้ว่า Renaissance มีนโยบาย Second 40 hours* ที่อนุญาติให้พนักงานนำ 40 ชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์ส่วนที่สองไปทำงานในแผนกไหนก็ได้ในบริษัท
ความเครียดใน Renaissance เองก็ค่อนข้างสูง กล่าวกันว่าตั้งแต่ตั้งกองทุนมา Simons สามารถบริโภคบุหรี่ได้อย่างต่ำวันละสามซอง หุ้นส่วนที่ก่อตั้งกองทุนด้วยกันมาก็ต้องยอมลาออกเพราะทน กับความกดดันไม่ไหว เคสที่แย่ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นนักคณิตศาตร์ของกองทุนที่ ฆ่าภรรยาตัวเอง และฆ่าตัวตายตาม
Simons เป็น quant ที่หลบหลีกมรสุมทางการเงินได้เป็นอย่างดี เนื่องจากความรู้ความเข้าใจ ทางคณิตศาสตร์ของเขาลึกซึ้งพอ ที่จะมองออกว่า ความงามของสมการ ความงามของโมเดลทางคณิตศาสตร์นั้น (Guassian Bell Curve, EMH, CAPM, Black Scholes เป็นต้น) เอามาประยุกต์ใช้กับความโลภ ความโกลาหล ของมนุษย์ที่มาปฎิสัมพันท์ในตลาดไม่ได้
โมเดล ทฤษฎี หรือหลักการใดๆก็ตาม ต่อให้มีความงดงามทางคณิตศาสตร์เพียงใด มีความโด่งดังมากมายเพียงใด หากมันไม่สามารถที่จะทำเงินได้ มันก็ไม่มีธุระกงการใดๆใน Renaissance Technologies
*สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นกับระบบการทำงานในอเมริกา งาน full time โดยทั่วไปจะมีชั่วโมงการทำงานต่ออาทิตย์ไม่ต่ำกว่า 40 ชั่วโมง

หัวข้อนี้ผมขออนุญาตเอามาเล่าสู่กันฟัง ในปีนี้แล้วกัน ซึ่งผมได้บรรยายเรื่องนี้ไปในปีที่แล้วที่สิงคโปร์ เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันในเอเชียทั้งหลายตื่นตัว และหาแนวทางรับมือกับโมเดลใหม่ของกองทุนเฮดจ์ฟันฝรั่ง
เริ่มต้น Financial weapons ผมขอเรียกว่าอาวุธทางการเงินแล้วกันนะครับ อาวุธทางการเงินนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากความบังเอิญ ของความผิดพลาดของเครื่องมือ ทางการเงินใหม่ๆ ที่เหล่า Prime Broker ได้คิดและสร้างขึ้นในจุดประสงค์ตอนแรกเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีและ ปราศจากความเสี่ยง ซึ่ง product เหล่านี้ กลับผิดพลาดและ กลับก่อให้เกิดความเสียหายในระดับที่คาดไม่ถึง กล่าวคือ มี ปฏิกิริยาลูกโซ่ในทาง ระบบทุนนิยมสูงมาก เมื่อเทียบกับ มูลค่า product ของตัวมันเอง แต่แน่นอนจุดเปลี่ยนเฮดจ์ฟัน ที่ทำให้หันมาสนใจอาวุธทางการเงินมากขึ้นแทนแนวทางเก่าๆคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า Blythe Masters ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำทีมผู้พัฒนา Credit Default Swaps หรือที่เรารู้จักกันดีหลังจากเหตุการณ์ ซัพพราม ที่ผ่านมาว่า (CDSs) นั่นเอง

ดังนั้นความคุ้มค่า หรือ จุดเปลี่ยนให้กองทุนเฮดจ์ฟันหันมาพัฒนาอาวุธทางการเงินมันเริ่มจากตรงไหน ซึ่ง จุดเปลี่ยนได้เริ่มเมื่อ Jim simons ได้เป็นผู้ริเริ่มใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์เหล่านี้ ก่อนที่เค้าจะเกษียรตัวเองไป ผมจะได้อธิบาย การมองภาพของเฮดจ์ฟัน ให้พวกเราเห็นภาพอย่างง่ายๆนะครับ เฮดจ์ฟันประเภทนี้ สร้างมาจากนักคณิตศาตร์ หรือ ไม่ก็ พวกนักฟิสิกส์ ดังนั้นพวกนี้จะมอง input and out put เป็นหลัก กล่าวคือยกตัวอย่างเช่น คุณใส่พลังงานไปเท่าไร คุณได้พลังงานจาก process นั้นออกมาเท่าไร หากมันออกมาต่างจากที่ใส่ไปในตอนแรกในปริมาณพอสมควร เราเรียกกันว่าความคุ้มค่า เพื่อให้เห็นภาพลองนึกโรงงานไฟฟ้าพลังงาน nuclear ดูครับ

ดังนั้นตาม Game Theory เมื่อมีความคุ้มค่าแล้ว ก็ย่อมเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับคนเหล่านี้เสมอ ทีนี้เมื่อมีความคุ้มค่า ทำไมเค้าถึงเรียกว่า อาวุธ ทางการเงินล่ะ ก็เพราะว่า มันมีผลกระทบเป็นวงกว้าง และ รุนแรงต่อผู้อื่นนั่นเอง โดยเฉพาะในตลาดทุนนิยม หากความมั่งคั่งของคนกลุ่มหนึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อเทียบกับปริมาณมูลค่าผลผลิตจริงที่โลกนี้จะผลิตได้ ผลก็คือ การเปลี่ยนถ่ายมูลค่าทรัพย์สินจากคนกลุ่มหนึ่งไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่นเอง หรือ เรียก ภาษาชาวบ้าน คือ การที่ทรัพย์สินของคนทั่วไปถูกสูบ หรือ ถูกทำให้ลดมูลค่าอย่างรวดเร็ว เพื่อชดเชยส่วนเพิ่มให้กับคนกลุ่มนั้นๆนั่นเอง ดังนั้น ใครที่มองว่าเราอยุ่ห่างไกล อาจจะภาพได้จากตัวอย่างนี้ เช่น มูลค่าที่ดินของเราแถวสีลมจากเดิม 10 ล้าน วูบลงเหลือซื้อขายกันแค่ 5 ล้าน ดังนั้นจากเมื่อก่อนเราเอาที่ดินไปวางค้ำประกัน เพื่อจะนำหลักทรัพย์ประเภทต่างๆเช่นเงินสด หรือ อื่นๆ ไปต่อยอด ทางกิจกรรมประโยชน์ของเราก็จะทำได้น้อยลง เป็นต้น
หรือแม้แต่การลดมูลค่าเงินในกระเป๋าเราลงมาเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อเมื่อรัฐบาลของแต่ล่ะประเทศต้องอัดฉีดเงินเพื่อบรรเทาความเสียหายทางด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้เรารุ้สึกว่าข้าวของที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันราคาแพงขึ้นอย่างมากเป็นต้น
ท้ายนี้ทำไมหัวข้อบรรยายของผมถึงใช้ชื่อนี้ เพราะ แสดงให้เห็นว่าWarren buffet ได้เป็นผู้เริ่มคำศัพท์อันนี้เป็นผู้ที่มี Visions ยาวไกลมาก
ส่วนใครที่อยากทำความเข้าใจอาวุธทางการเงินเบื้องต้นให้เข้าไปศึกษาพื้นฐานได้จากตรงนี้ก่อนครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Credit_default_swap ก็จะเห็นโครงสร้างของโมเดล ว่าเป็นแนวทางแบบไหน และ นี่เองเป็นจุดประกายไอเดียสำหรับ อาวุธ ทางการเงินใหม่ในอนาคตที่ร้ายแรงและรุนแรงกว่า

เมื่อพูดถึง Technical indicator ในการเทรดหุ้นแล้ว หลายคนก็คงจะนึกถึงภาพ indicator มาตรฐานหลายๆอย่าง เช่น Rsi , Stochastic , Adx อะไรทำนองนี้เป็นต้น
ซึ่งข้อจำกัดของ Indicator เหล่านี้ก็คือโปรแกรม กราฟ และ ข้อมูลที่เราต้องคอยโหลด หรือ feed เข้าไปที่โปรแกรมกราฟเรานั่นเอง หรือแม้แต่บางที หากโปรแกรมกราฟของเรามีปัญหาขึ้นมา ก็ถึงขั้นอาจทำให้การเทรดเสียขบวนไปได้เลยทั้งวันนั้นก็มี
ในฐานะคนวางกลยุทธ์ ในสมัยที่ผมทำเฮดจ์ฟัน สิ่งเหล่านี้ก็จัดว่าเป็นความเสี่ยงเล็กๆตัวหนึ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่มีอาชีพต้องคอยทำธุรกรรมและการตัดสินใจขึ้นตรงกับกราฟอยู่ทุกวัน ดังนั้น ผมจึงได้คิดและพัฒนาแนวทางที่ทำให้เทรดเดอร์ภายใต้สังกัดผม ก้าวไปอีกขั้นโดยไม่ต้องเพิ่งพากราฟ และ สามารถเทรดได้ทุกที่ ที่มี Internet เข้าถึง
แนวทางนี้ผมเรียกมันว่า Portfolio Indicate
ก่อนจะอธิบายถึงวิธีการ ท้าวความถึง Technical analysis ก่อน สักนิดหน่อยแล้วกันนะครับ
Technical ส่วนมากอาศัยการคำนวณและประมวลจากข้อมูลของราคาเป็นหลักส่วนมาก แต่จะมี indicator บางตัวที่ถึงแม้จะคำนวณจากราคาและวอลุ่มแต่ก็นำหน้าการเกิดขึ้นของราคาได้ อันนี้ไม่ขอพูดถึงตอนนี้แล้วกันนะครับ ทีนี้ สำหรับคนที่เทรด Technical อาจจะสร้างโมเดลที่มีสัญญาณซื้อ-ขาย ขึ้นมา เช่น เขียวซื้อ หรือ แดง ขาย หรือ แม้แต่ลูกศรขึ้น-ลง เป็น signal ในการเข้าและออกจากตลาด ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ของเทคนิคเราสามารถสรุปได้ว่า เทคนิคส่วนมากนั้นจะสั่งให้เราซื้อเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดหนึ่งที่ค่าของเทคนิคอนุมัติให้เราซื้อได้ เช่นเดียวกันในทางกลับกัน หากราคาลงจนถึงค่าเทคนิคที่เราคิด indicator ก็จะอนุมัติให้เราขายได้ เป็นต้น
ดังนั้นเราจะเห็นว่าเทคนิคส่วนมากที่ใช้ๆกันอยู่มาจากการขึ้นลงของราคา ดังนั้น ตัวเลข P/L ของพอร์ตเราก็มาจากการขึ้นลงของราคา เมื่อเทียบกับจุดที่เราซื้อ-ขาย เช่นเดียวกับเทคนิคเช่นกัน
ทีนี้ผมยกตัวอย่าง สมมุติเทคนิคโดยทั่วไปจะมีสัญญาณซื้อ-ขายเมื่อราคาขึ้นลงไปสัก 1% (ต.ย.เฉยๆนะครับ)
ทีนี้ผมก็ซอย Positions ออกเป็นส่วนย่อยๆ อาจจะ 30 ส่วน 50 ส่วน หรือแม้แต่ 100 ส่วน ตามแต่การคำนวณงบของเรา
เมื่อเริ่ม Start ผมก็เริ่มซื้อหุ้น A ที่ 100 บาท ราคาหุ้นขึ้นไปที่ 101 พอร์ตผมก็จะเป็นสีเขียว ซึ่งหมายถึงสัญญาณซื้อในทางเทคนิคนั้นเอง ผมก็จะซื้อเข้าไปอีกหนึ่งไม้ ที่ 101 และถ้ามันขึ้นไปอีกผมก็จะเริ่มซื้อที่ 102 อะไรทำนองนี้เป็นต้น ในส่วนนี้เราจะเรียกว่า technical positions โดยเราจะไม่ใช้เยอะอาจจะเป็น positions ล่ะ 100 เพื่อดูเป็น indicator ในแต่ล่ะระดับราคาเฉยๆเป็นต้น ซึ่ง ถ้า ไม้แรก และ ไม้ สอง ในการเข้าซื้อของเราเขียว เราจะซื้อตามเข้าไปในลักษณะที่หนักขึ้นหน่อย ซึ่งเรียกว่า Follow positions และถ้าหุ้นยังขึ้นต่อเราก็จะใช้ส่วนแรกทีล่ะ 100 หุ้นไล่ซื้อตามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิด p/l สีแดงขึ้นที่ไม้รองสุดท้าย เราก็ขาย follow positions ของเราที่ซื้อตามกรณีไม้แรกเขียวออกไป และถ้าหากไม้ถัดมาแดงอีกเราก็ขายในส่วน follow positions ไม้ที่สองในตอนแรกออกไปอีก เป็นต้น
อันนี้ผมอาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้ไม่ค่อยล่ะเอียดนักแต่หวังว่าจะพอเป็นไอเดียได้สำหรับน้องๆเฉยๆนะครับ เพราะหากเกิด เทรนขึ้นมาเราก็จะสามารถถือตัว Positions ใหญ่ๆได้ยาว แต่หากมนลงไปเรื่อยๆ เราก็ทยอยซื้อส่วนของตัวสัญญาณเทคนิคไปเรื่อยๆทีล่ะ 100 หุ้น จนกว่ามันจะกลับมาเขียวเราก็ค่อยเข้าซื้อได้อีกครั้ง อะไรเหล่านี้เป็นต้น ยิ่งเมื่อเรามารวมกับเทคนิคการบริหารเงินเข้าไปด้วยแล้ว จะทำให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิการบริหารพอร์ตได้อย่างดีขึ้นพอสมควร เหมือนกับการใช้เทคนิคในการตัดสินใจเทรดไปด้วยในตัวนั่นเอง
ปล. เมื่อเราเชี่ยวชาญแล้ว เรายังสามารถประยุกต์ไปถึงขั้นจดตัวเลขกำไรขนาดทุนของพอร์ตเรามาเป็น Indicator ซึ่งถ้าตัวเลขกำไรยังวิ่งต่อไปเราก็ถือ positions ไปเรื่อยๆ จนกว่าระดับตัวเลขกำไรวกกลับมายังเลขที่เราบันทึกไว้ในใจเราก็เริ่มลด positions เป็นต้นครับ
และท้ายนี้ขอแสดงความยินดีกับพี่กบและพี่นน ที่ได้ไปอยุ่ firm ที่ใหญ่กว่าและมั่นคงกว่า MudleyGroup ของเรานะครับ ซึ่งคราวนี้ภาระในการเทรนน้องๆเทรดเดอร์ก็คงจะตกภาระอยุ่ที่พี่โบเป็นหลัก ซึ่งพี่คิดว่า ถึงแม้จะเป็นงานที่หนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ Mudleygroup นั้นต้องการสื่อถึงการที่พวกเราตั้งใจจะถ่ายเทความรุ้ให้กับน้องๆอย่างแท้จริง เท่าที่ความสามารถของพวกเราจะพึงมีและพอรับไหว พี่ต้องขอบคุณพี่โบอย่างมากที่เสียสละหยาดเหงื่อและแรงกายนอกจากงานประจำที่ทำอยุ่ แต่นั่นก็หมายถึงองค์กรณ์ของเราล้วนเปี่ยมไปด้วยผู้ที่มีจิตใจที่เต็มไปด้วยการให้ที่แท้จริง รวมทั้งพี่ๆ staff ที่จะออกไปทำงานรวมกับสังคมอื่นๆก็คงจะมีแนวคิดที่ดีและจิตใจที่ดีไม่แพ้กันเช่นกัน ขอบคุณมากๆครับ :)
สำหรับรุ่น 3 เนี่ยคงต้องรอให้เราเติบโตมากกว่านี้พอที่จะ มีเวลาและจัดการระบบ รวมถึงการสร้าง staff เพื่อการเทรนโดยเฉพาะได้ก่อนแล้วกันนะครับ ซึ่งพี่คิดว่าอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย เพราะองค์กรเรายังเล็กมากๆ จึงทำให้ต้องทุ่มเททรัพยกรบุคคลไปในการสร้างความมั่นคงให้องค์กรณ์เสียก่อน เป็นต้นครับ แต่พี่และพี่โบก็จะพยามเข้ามาเขียนความรุ้และไอเดียเรื่อยๆ ให้น้องๆที่ไม่ได้ทำการเทรด ได้ประโยชน์ไม่ทางใดทางหนึ่ง อยุ่อย่างสม่ำเสมอแล้วกันนะครับ :)
รุ่นสอง
วันเทรดวันแรก เริ่มวันจันทร์ที่ 17 มกราคม นี้แล้วครับผม รบกวนรุ่นสองทุกทีมใส่วงเงินที่จัดสรรกันภายในทีมใน tab "Port Allocation" ด้วยครับผม สำหรับอาทิตย์หน้าเป็นอาทิตย์ที่สามของปี 2011
สำหรับทีมที่ไม่ได้ใส่ port allocation ทางทีมงานจะแบ่งให้เท่ากันในวันศุกร์ปลายสัปดาห์ครับ ตัวเลขตัวนี้ค่อนข้างจะสำคัญเพราะเป็นหนึ่งในตัวแปรที่ทางทีมงานนำไปคิด performance กันครับ
รุ่นหนึ่ง & รุ่นสอง
เรื่องการส่ง order
ทางทีมงานจะขอเลื่อนเวลา deadline ในการส่ง order จากเวลาตลาดเปิดไปเป็น 15 นาทีก่อนตลาดเปิดครับซึ่งจะเป็นเวลา 9:45 กับ 14:15 ครับผม เวลาจะใช้อ้างอิงจาก revision history ของ google docs ครับ
เรื่องการทำ report
สำหรับการ report weekly standing ของสัปดาห์ที่ 3/2011 ทางทีมงานจะยกการประกาศผลของรุ่นหนี่ง รุ่นสองกลุ่มหนี่ง รุ่นสองกลุ่มสองไปไว้ที่
http://mudleytraders.blogspot.com/
แทนครับผม ส่วน blog นี้ก็จะกลับไปในโหมดการให้ความรู้ดังเดิมครับ โดยที่พี่มัด พี่โบและทีมงาน สัญญาว่าจะเตรียมบทความดีๆ และเกร็ดความรู้ แบบ home brew ที่เป็นประโยชน์มาอัพเดทกันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งครับผม
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะครับทุกท่าน
มาถึงสัปดาห์สุดท้ายของปี เหล่าเทรดเดอร์รุ่นหนึ่งก็ไม่ได้หยุดหย่อนกันแต่อย่างใดคับ แม้ว่าดีกรีความแรงจะแผ่วลงไปบ้าง ก็ยังมีการชิง CF กันอยู่ให้เห็นครับ
Bonus Cash Flows
Trader Performance Point
สำหรับสัปดาห์นี้มีเทรดเดอร์ท่านเดียวที่ได้ TPP เพิ่มก็คือคุณ Lad เจ้าเก่าคับ
Team Performance Point
ในสัปดาห์นี้ไม่มีทีมใดได้แต้มเพิ่มครับ team performance point จึงอยู่ที่ระดับเดิมสำหรับทุกทีมครับ
ประกาศ รุ่นหนึ่ง
ทางทีมงานจะสะสาง spread sheet ให้ใหม่นะครับจะเอา order ที่ match ไปแล้วไปในไว้ใน workbook ใหม่ให้เวลามอง spread sheet จะได้ไม่สับสนกันคับ (ยิ่งทีมไหนเทรดกันหนักๆ ทีมงานส่องกันตาแทบเหล่เลยทีเดียว) คาดว่าจะเสร็จก่อนเที่ยงคืนของวันอังคารที่ 4 มกราคม คับ
ประกาศ รุ่นที่สอง
ตอนนี้ทางทีมงานยังรอให้ broker ติดต่อกลับเรื่องความพร้อมของ portfolio ทำให้ทางทีมงานกำหนดวันแรกของการเทรดที่แน่นอนไม่ได้ครับ ยังไงถ้าทราบวันที่แน่นอนทางทีมงานจะ email ให้ทราบทันทีครับ ทางทีมงานคิดว่าไม่น่าจะเกินสัปดาห์ที่สองครับ
ส่วนเรื่องของ Dropbox กับ Google docs จะส่ง invite ไปไม่ให้ช้าเกินกว่าวันที่ 4 มกราคม ครับผม

[ ชี้แจงหลักสูตรการเทรน จากพี่ MudleyGroup ]
สวัสดีครับ เนื่องจากช่วงนี้ผมพอมีเวลาอยู่บ้าง ก็เลยจะเขียนอธิบายหลักสูตรในเลเวลหนึ่งให้น้องๆที่มาทำการฝึกได้เข้าใจตรงกันนะครับ ว่าทำไมเราถึงต้องฝึกฝนอย่างนี้ และแตกต่างจากเทรดเดอร์ทั่วไปอย่างไรกันบ้าง
ในเฮดจ์ฟันนั้นหลักสูตรเทรดเดอร์ที่นิยมใช้เทรนเทรดเดอร์กันก็คือหลักสูตรตัวนี้ และ เพื่อไม่ให้น้องๆเข้าใจผิดจากการไปอ่านหนังสือหรือการค้นหาตาม web site เพื่อค้นคำว่า Sniper Trading
Sniper trading นั้น ถูกยืมไปใช้อย่างมากในวงการเทรดเก็งกำไร เช่น พวก Forex ทำให้หลายๆคนเข้าใจผิดว่าเป็นการเก็งกำไรแบบเน้นความแม่นยำสูง และ เมื่อพลาดก็จำต้องตัดสินใจ Cut Loss และแน่นอนไม่จำเป็นที่พวกเฮดจ์ฟันปิด จะต้องออกมาชี้แจงถึงการเอามาสอนกันผิดๆให้เข้าใจถูกกัน ก็เพราะยิ่งเข้าใจกันผิดก็ยิ่งง่ายต่อตัวเองในการทำกำไรในตลาดเงินตลาดทุน
Sniper trading คือหลักสูตรการเทรนเทรดเดอร์ประสิทธิภาพสูงสุด หรือกล่าวอีกในหนึ่ง คือการสร้าง ผู้เชี่ยวชาญในวงการเทรดในระดับสูงสุด และ อันตรายที่สุด เท่าที่เทรดเดอร์คนนั้นจะเรียนรู้ไหว
เพื่อให้น้องๆเห็นภาพ การยกวิชาคณิตศาสตร์มาจะทำให้น้องๆหลายคนที่ไม่มีพื้นทางคณิตศาสตร์งงกัน ขอ ยกตัวอย่างหนังแล้วกันนะครับ น้องๆอาจจะเคยได้ดูหนังเกี่ยวกับ สไนเปอร์ที่สู้กันพี่จำไม่ได้ แต่พี่เลือกเรื่องนี้แล้วกัน เพราะมันเข้า Concept ของ hedge fund ที่สุดแล้วว่าทำไมต้องเลือกคำนี้ ซึ่งจากหนังในเรื่องนั้น หากน้องต้องต่อสู้กับสไนเปอร์ด้วยกันแล้ว เมื่อน้องยิงพลาดไม่โดนเค้า นั่นหมายถึงเค้าก็สามารถที่จะจับตำแหน่งของน้องได้ ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตกันเลยทีเดียว
ทีนี้น้องก็จะมองเห็นภาพแล้วว่าทำไมเรานำระบบ Hp หรือ Hit point มาใช้ ก็เพื่อให้เทรดเดอร์ระลึกอยู่เสมอ ว่าเงินสดของตัวเองก็คือพลังชีวิตของตัวเองนั่นเอง กระสุนหนึ่งนัดที่น้องบรรจุลงไปในลำกล้อง เพื่อทำให้ match 1 ออเดอร์ น้องก็ต้องใส่พลังชีวิตของน้องลงไปด้วยในกระสุนแต่ล่ะนัด ซึ่งเมื่อน้องพลาดจึงไม่มีการ cut loss เปรียบเสมือนการรบในสนามจริงเมื่อน้องพลาด น้องต้องแลกมาด้วยชีวิตของน้อง
ทีนี้ต่างจากระบบ cut loss อย่างไร ระบบ cut loss ไม่ได้ช่วยให้เทรดเดอร์ดึงพัฒนาการได้อย่างสูงสุด เพราะ เทรดเดอร์จะรุ้ว่าตัวเองทำผิดพลาดได้ เมื่อผิดทางก็แค่ cut loss เพื่อเริ่มใหม่ ทำให้จิตใต้สำนึกรับรุ้จากการผิดพลาดได้น้อยมาก ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่า ตัวเลขรับรู้ขาดทุนจากการ cut loss นั่นก็ทำให้เจ็บปวดอยุ่เหมือนกันนะครับ น้องต้องแยก 2 อย่างนี้ออกจากกันให้ได้นะครับ เมื่อน้องรับรู้การเจ็บปวดแล้วสิ่งนี้จะไม่ถูกฝังอยุ่ในจิตใต้สำนึกของน้อง เพราะน้องได้เลือกที่จะยอมรับบทลงโทษผ่านความเจ็บปวดจากการ cut loss ออกมาแล้ว
เมื่อน้องฝึก Sniper Trading กันจนชำนาญแล้ว จิตใต้สำนึกของน้องจะได้รับการฝึกฝนไปด้วยเช่นกัน เพราะเราจะโปรแกรม Skill ไปยังเบื้องลึกของจิตใต้สำนึกของเทรดเดอร์กันเลย ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหากน้องๆเทรดเดอร์คนไหนที่พัฒนา skill ขึ้นมาได้จนแตกต่างกว่าระดับมาตรฐานมากอย่างเห็นได้ชัด เพราะ ลึกๆแล้วพี่อยากให้การเทรนเทรดเดอร์ครั้งนี้สร้างเทรดเดอร์มืออาชีพในระดับของเฮดจ์ฟันอเมริกา หรือยุโรปกันเลย ขอให้ตั้งใจกับการฝึกครั้งนี้นะครับ J
Credit By MudleyGroup

สวัสดีครับเทรดเดอร์ทุกท่าน
ต่อไปนี้เป็นรายงานประจำสัปดาห์ที่ 50 นะครับ สัปดาห์นี้แม้ว่า SET50 สุุดที่รักของเหล่าทีมงานมัดเล่ทุกคน จะเปิดสัปดาห์ที่ 727.35 แล้วมาจบที่ 712.13 ก็ไม่ได้ทำให้การเทรดของเหล่าเทรดเดอร์รุ่นหนึ่ง ซบเซาไปแต่อย่างใดครับ เท่าที่ผ่านมา Bonus Cash flow ในสัปดาห์นี้มีขนาดเฉียดๆ หนึ่งพันครับ
Bonus Cash Flow
Trader Performance Point
Team Performance Point
อยากจะพิมพ์บรรยายเหมือนกันครับแต่ ตัวเลข และกราฟน่าจะบรรยายได้มันส์กว่าผมครับ

ขั้นตอนการใช้งาน Google Docs สำหรับส่ง order ซื้อขายนะครับ
- ทีมงานจะ check spread sheet วันละสองรอบ คือ ก่อน 10:00 และก่อน 14:30 ครับ ถ้าพลาดรอบสิบโมงเช้า แล้วทางเทรดเดอร์ไม่เปลี่ยนแปลง order ทีมงานจะ ตั้งคำสั่งซื้อขายให้ทันรอบบ่ายสองโมงครึ่งครับ แต่ถ้าพลาดรอบบ่ายทางทีมงานก็จะลบคำสั่งทิ้งรอ เทรดเดอร์ confirm order อีกทีก่อนสิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เรื่องของเวลาในการใส่ order นั้นทางทีมงาน check จาก revision history หาดูได้จา File > See Revision History
- Order ที่ทางทีมงาน accept ต้องเป็น order ที่ไม่เกิด loss ครับ
- Trader อัพเดท Cell ที่เป็นสีเขียวเท่านั้นครับ
- ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนราคา ทางเทรดเดอร์ต้องแจ้ง cancel order ที่จะเปลี่ยนราคาก่อนครับ โดยการเปลี่ยนสี row นั้นๆเป้นสีแดงแล้วกำกับไว้ใน note ว่า Cancel ครับ เพราะทุกๆ order เมื่อถึง deadline 10:00 และ 14:30 จะถูกตั้งไว้แล้วถ้าเปลี่ยนราคาเฉยๆทาง ทีมงานจะยึดคำสั่งเดิมครับ ทั้งหมดสามารถตรวจได้ด้วย File > See Revision History ครับ
- Condition หลัง match ให้ใส่ที่ note ครับ
- ในกรณีที่ต้องการแบ่งขาย lot ทางทีมงานจะแตก row ให้ครับ
ขั้นแรกเทรดเดอร์ส่ง order ไว้ใน google docs ทางทีมงานจะนำ order ไปตั้งให้ตเริ่มตั้งแต่ 9:30 จนถึง 10:00 เมื่อ order match ทีมงานจะอัพเดท spread sheet และ นำ screen shot ของ deal นั้นๆไปใส่ไว้ให้ใน drop box ที่เทรดเดอร์ share ไว้กับทีมงาน
ทางเราจะโพสตัวอย่างของ
spread sheet ไว้ให้ดูนะครับ ส่วนตัวจริงที่ใช้ในการเทรดจะ invite ไปพร้อมกับ dropbox ก่อนการเทรดจริงหนึ่งสัปดาห์ครับ
ระหว่างนี้ก็นำ
spread sheet ไปทดลองซื้อขายในกระดาษก่อนก็ได้ครับ สำหรับการทดลองใช้ในช่อง Deal# ถ้า order match ใส่อะไรไปก่อนก็ได้ครับอย่าให้มันว่างก็เป็นพอ
ถ้าท่านใดมีข้อแนะนำในการปรับปรุง spread sheet ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น หรือเจอข้อผิดผลาดใดๆใน spread sheet รบกวนแจ้งพวกเราด้วยครับ ทางทีมงานจะทราบซึ้งมากครับ :P

อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่แสนสั้นสำหรับพ่อค้าหลักทรัพย์อย่างเราๆครับ แต่ก็ไม่ได้ทำให้การแข่งขึ้นของเราซบเซาไปแต่อย่างใดครับ
ยังไงขออธิบายกราฟ Standing ในวันนี้แล้วกันนะครับ เผื่อจะได้ช่วยได้ในการวางกลยุทธ์ของแต่ละทีมได้บ้างครับ แท่งสีน้ำเงินที่เห็นนั้นคือ Cash ข้อมูลใน field นี้ทางทีงานยกมาจาก Cash ที่อยู่ตรงหัวของ Google Doc ที่ทุกท่านใช้ส่ง order ซื้อขายกันครับ สำหรับ portfolio value นั้นก็คือ Cash + Closing Price ของวันสุดท้ายในรอบสัปดาห์ของหลักทรัพย์ทุกตัวใน portfolio รวมกันครับครับ
ภาษา excel nerd อย่างผมก็จะพูดกันว่า sumproduct (volume, market price) ครับ
Bonus Cash Flow
สำหรับอาทิตย์นี้ทีม Jaw ได้เงินใน pot ไปใส่ portfolio เช่นเคยครับ
Trader Performance Point
จริงๆแล้วอาทิตย์นี้คุณ Rookie และคุณ Plameuk ก็ทำ cash flow ได้เช่นเคยครับ แต่หักลบกับ cash flow ของคุณ Ling & คุณ Lad เป็นบวกไม่ได้ครับ Performance Point ของทั้งสองท่านจึงอยู่ที่ระดับเดิมครับ
Team Performance Point
แม้ว่าจะมีเวลาเทรดแค่สามวัน สมาชิกทีม Jaw ก็ยังร่วมกันทำ Cash Flow กันอย่างพร้อมเพรียง จึงได้ Team Performance Point ได้อีกครับ
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับเทรดเดอร์รุ่นสองอีกครั้งนะครับ
จะสังเกตุได้ว่าทางทีมงานได้ขอ resume และ เรียงความ จากเทรดเดอร์รุ่นที่สองแต่ไม่ได้ขอจากรุ่นที่หนึ่ง เหตุผลง่ายๆครับ จำนวนของเทรดเดอร์รุ่นสองนั้นเยอะกว่ารุ่นหนึ่งกว่าเท่าตัว จากรุ่นหนึ่งที่มีเพียง 6 ท่าน รุ่นสองนั้นมีถึง 16 ท่านกันเลยทีเดียว
ทำให้การแยกแยะบุคคลิกในการเทรดจาก poker stat อย่างเดียวกันที่ทำกับรุ่นที่หนึ่งนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากตัวแปรจาก poker stat นั้นมีไม่กี่ตัวแปร ในขณะที่เทรดเดอร์นั้นมีถึง 16 คน ในจุดนี้นี่เองที่ resume และเรียงความเข้ามามีบทบาทในการจัดกลุ่มของเรา
ในตอนแรกทางทีมงาน ได้คุยกันว่าเราจะสรุป profile ของเทรดเดอร์แต่ละท่านในรุ่นสองแล้วให้จัดกลุ่มกันเองจาก profile ที่ทางทีมงานได้จัดให้ โดยที่ทางทีมงานมีเงื่อนไขเล็กน้อยในการจัดกลุ่ม แต่เนื่องจากการรวบรวม resume & essay นั้นช้ากว่ากำหนด ทางทีมงานจึงตัดสินใจจัดให้เพื่อเป็นการประหยัดเวลา
พวกเราทุกคนได้สลับกันอ่าน resume และ essay ของทุกท่านกันทุกคน และทางทีมงานได้พยายามสุดความสามารถในการจัดกลุ่มให้มีระดับใกล้เคียงกัน ในขณะที่คงความ หลากหลาย (diversity) ให้กระจายครบทุกกลุ่ม
สำหรับรุ่นสองนั้นทางทีมงานจะแบ่งเป็นสองกลุ่มเพื่อให้ความง่ายนั้นเท่ากลับรุ่นหนึ่ง ถ้าเหล่าเทรดเดอร์ได้ติดตามผลประจำสัปดาห์ของรุ่นที่หนึ่ง จะเห็นว่าปลายสัปดาห์จะมีการตัด bonus cash flow ไปเป็นรางวัลให้กับทีมที่ได้ cash flow มากที่สุดประจำสัปดาห์นั้นๆ
แค่สามทีมก็ตอดกันเป็นร้อยๆแล้วครับ ถ้าแปดทีมตอดกันเองอาจจะไม่เหลือเงินให้เทรดกันก็เป็นได้ครับ ไหนๆรุ่นหนึ่งขับเคี่ยวกันแค่สามทีม รุ่นสองก็ควรที่จะได้ความง่ายระดับเดียวกันครับ เราเลยตัดรุ่นสองเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละสี่ทีมครับ
Schedule
ทางทีมงานได้กำหนดวันเทรดวันแรกของรุ่นสองไว้ประมาณกลางเดื่อนมกราคม วันเวลาที่แน่ชัดจะประกาศ ให้ทราบกันอีกทีครับ
Required Items
- Google Account : สำหรับใช้ Google Docs ที่ทางทีมงานใช้ในการรับ Trade order
- Dropbox : สำหรับรับ confirmation report จากทางทีมงาน
ถ้าสมัครกันเสร็จแล้วรบกวนแจ้ง account ให้ทางทีมงานทราบด้วยนะครับ จะได้ส่งตัวอย่าง google docs ไปให้ได้
Recommended Actions
เท่าที่ทราบตอนนี้ budget ที่จะจัดให้กับทีมแต่ละทีมนั้นอยู่ประมาณ 5 หมื่นบาท จะจัดสรรกันยังไงนี่แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์เลยนะครับ(เท่าที่อ่าน essay มาดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมกันทุกคน อิอิอิ) จะแบ่งครึ่ง จะแบ่งเป็นสิบกอง จะจัด reserve จะให้คนนึงเทรดให้อีกคนเป็น Quant จะจัดกันยังไงเต็มที่เลยครับ (แต่อย่าลืมนะครับ เรามี Team performance point อยู่)
อยากจะตั้งชื่อทีมกันยังไงก็ติดต่อมาทางทีมงานนะครับ
รายชื่อรุ่นสองกลุ่มหนึ่ง
- Vee V. & Theera Phat
- Nine nett & Vasu
- Sophon & Solid Frog
- Dutch & Balperfect
รายชื่อรุ่นสองกลุ่มสอง
- Mankeaw & Kowit
- Momo asp & Keerati
- Neoone 7 & Nuran
- Nattapat & Weerawhizz
พี่มัดฝากประกาศนะครับ
ถ้าพี่กบ พี่นนท์ยังดอง Report ปลายปี กะ strategy 2011 อยู่เราอาจจะได้เห็นรุ่นสามกันเร็วกว่ากำหนดครับ งบหดอย่าบ่นกันนะครับเก่งๆกันทั้งน้าน 555

สำหรับพื้นฐานการบริหารเงิน น้องๆสามารถเรียนรู้ Basic ได้จากโมเดล Kzm ของพี่ Mudley กันอยู่แล้ว แต่เนื่องจากหน้าที่ของพวกพี่ คือการเพิ่มเติมความรู้และขยายไอเดียให้กับพวกน้องๆระหว่างการฝึกให้มากที่สุด เพื่อการเป็นเทรดเดอร์ที่ดีในอนาคต
ต้องขอบคุณเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ที่ทำให้เราสามารถค้นหาความรู้และการเรียนรุ้ได้มากมาย แต่ปัญหาที่สำคัญจะอยู่ที่การที่เราจะมีไอเดียนำความรู้นี้ไปใช้ได้อย่างไรต่างหาก ซึ่งอันนี้เป็นประสบการณ์ตรงจากพี่เองที่ได้เรียนรู้จาก MudleyGroup เกี่ยวกับไอเดียเรื่องการบริหารเงิน ไม่ใช่สิสิ่งที่ได้เรียนรุ้คือ การเอาความรู้ที่เราคิดว่าไม่เห็นสำคัญเลยมาใช้ประโยชน์ได้ต่างหาก (พี่ mudley เคยบอกว่า ความรู้มันสำคัญที่คนใช้ ซามูไรบางคน ที่เชี่ยวชาญเข้าใจในหลักการของธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น มูซาชิ ใช้แค่ดาบไม้ไผ่ก็จัดการกับซามูไรที่ใช้ดาบจริงได้ เพราะความรู้ที่เราเรียนๆมานั้นมันคือความเข้าใจและความเชื่อของมนุษย์ที่มีมุมมองต่อธรรมชาติในแง่ต่างๆนั่นเอง)
ก่อนอื่นต้องท้าวความก่อน เมื่อไม่นานมานี้พี่อยากรุ้ว่า ถ้าเราเป็นเทรดเดอร์แล้วอยากจะบริหารเงินแบบสไตล์กองทุนคือการตั้งซื้อแบบโซนสามเหลี่ยม ไม่ใช่แบบ Kzm ที่เป็น Fix unit หรือ Value Fix เราจะมีวิธีคิดง่ายๆได้มั้ย แน่นอนคำตอบ อยู่ตรงหน้าเราอยู่แล้ว แต่พี่นั้นมองไม่เห็นและไม่มีไอเดียเอง จึงไม่สามารถนำความรู้ที่เคยเล่าเรียนมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ตอนนั้นใครจะไปนึกถึงเรื่องอนุกรมที่เคยเรียนสมัยมัธยมได้ล่ะ ก็ยังบ่นกับเพื่อนว่ามันเอาไปใช้อะไรได้วะเนี่ย อยู่เลยตอนที่เรียน ดังนั้น พี่เลย เอาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพี่mudley แนบมาให้น้องๆเห็นด้วยว่า วิชาการเดียวกัน คนหนึ่งสามารถเอาไปใช้ต่อยอดได้ ขณะที่อีกคนไม่เคยสนใจและให้ความสำคัญเพราะมองเป็นสิ่งไม่จำเป็น ทั้งๆที่เรียนมาเช่นกัน แน่นอนพอเราเห็น เลคเชอร์อันนี้แล้วทุกคนก็จะ อืม มันก็เรื่องเดิมๆ โดยไม่ยากด้วยพี่ แต่ประเด็นสำคัญที่พี่ อยากย้ำในวันนี้คือ หากพี่ไม่ได้อ่านเล็คเชอร์ในวันนั้น พี่จะสามารถเอาความรู้ง่ายๆสมัย ม.ปลาย มาประยุกต์ใช้ได้ด้วยตัวของพี่เองหรือไม่ นี่หล่ะครับ ความสำคัญของของ จินตนาการและการต่อยอดองค์ความรู้

ซึ่งพี่คิดว่าที่พี่ mudley เขียนไว้นั้นน่าจะเข้าใจง่ายกว่าพี่อธิบาย math อยู่แล้วเพราะความเข้าใจที่มีต่อตัว math นั้นต่างกัน อ่อ กระดาษแผ่นนั้นพี่ mudley ใช้เขียนอธิบายพี่ด้วยเวลาไม่น่าเกิน 10 นาที ซึ่งคำตอบบางทีน่าจะเป็นค่าประมาณ อยากกดเครื่องคิดเลขเช็คเหมือนกัน แต่ขี้เกียจ นะครับ พี่เองก็ไม่ได้ซีเรียสคำตอบอยุ่แล้ว น้องคนไหนเข้าใจก็ลองทำตามไปดูก็ได้เนอะ เผื่อพี่ mudley คิดเลขผิด 5555 ส่วนพี่เอาแค่ไอเดียมาใช้งานต่อยอดได้อีกเยอะเลย
ทีนี้จากตรงนี้ช่วยต่อยอดไอเดียอะไรพี่ได้บ้าง ก็เนื่องจากเรามีกระแสเงินสดรายได้กำไรเข้ามาอีก จากการซื้อๆ ขายๆ แบบที่พวกเราทำๆกันอยุ่เนอะ ดังนั้น งบประมาณ เราจึงเป็น Dynamic เมื่อเรามีสูตรง่ายๆของเราแล้ว งบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากกระแสเงินสดที่เราทำได้ ก็จะส่งผลต่อจำนวนเงินในแต่ล่ะไม้ที่จะเพิ่มขึ้นด้วยตามสัดส่วน แน่นอนเงินน้อยๆอาจจะยังไม่มองไม่เห็นแต่ เงินเยอะๆตรงนี้จะเริ่มช่วยได้พอสมควร สำหรับความรู้อาทิตย์นี้อาจจะพอแค่ตรงที่พี่ ขอให้น้องๆทุกคนโชคดีในวันหยุดยาว ยกเว้นตัวพี่ที่ตลาดอเมริกาไม่หยุด ก็ต้องเฝ้ากันต่อไป และหวังว่าน้องๆจะไม่ดูถูกความรู้แบบต่างๆ ถึงแม้หัวใจจะไม่ยอมรับ บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตกับน้องๆเองไม่ทางตรงและทางอ้อม
**สามารถถามคำถามได้นะครับหากสงสัย ไม่ใจร้ายเหมือน Staff ในหัวข้อข้างล่าง **

เพื่อช่วยในการให้ไอเดีย และ ปรับปรุงประสิทธิภาพ การเทรดของน้องๆไม่ว่าจะทั้งรุ่นที่1หรือรุ่นที่2วันนี้จะมาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่นักลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเก็งกำไรของเทรดเดอร์เฮดจ์ฟัน
(ความเชื่อที่ว่าเฮดจ์ฟัน เทรดเดอร์). วางแผนจากภาพเล็ก ---> ภาพใหญ่ เช่น กราฟ 10 นาที ไป 30 นาที ไป กราฟ 1 ชม. ไป กราฟ Day
-อันนี้เราจะไม่ทำแบบนี้แน่นอน การวางแผนจากภาพเล็ก จะไม่ช่วยให้เรามองภาพใหญ่ออกเลย เพราะในภาพเล็กจะประกอบไปด้วย ความผันผวนมากมาย ตามแล้วแต่ปัจจัยมากมาย รายชั่วขณะนั้นๆมากระทบ
ดังนั้น สิ่งที่เราจะทำคือ มองภาพใหญ่ก่อน เพื่อวางแผนหลัก แล้ว ค่อยมาปรับกลยุทธ์เล่นในส่วนของภาพเล็กๆรายนาที หรือ รายวัน ตามแนวทางหลักที่เราเคยวางไว้ ทีนี้น้องจะมองภาพออกว่า เวลาฝรั่งเข้ามาก็เข้ามาเป็นเทรนยาวเลย เหมือนช่วง ซัพพรามที่ผ่านมา เวลาเค้าออกก็วางแนวหลักในการขายเป็นหลัก ซื้อบ้างแต่ขายเป็นหลัก อย่างตลาดช่วงนี้ ก็วางแนวทางซื้อเป็นหลัก ขายบ้าง เพื่อปรับต้นทุน แต่ก็ยังซื้อเป็นหลักเช่นกัน
** ไม่มีการตอบคำถามในส่วนของวิชาการครั้งนี้นะครับ **
อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่สนุกมากครับ ดูผลประจำอาทิตย์ได้ดังนี้
ในอาทิตย์นี้ทุกทีมสามารถทำกำไรให้กับ portfolio ของตัวเองได้ทุกทีม แต่อย่างไรก็ดีตามกฎการแข่งขันที่ทางทีมงานกำหนดไว้ ทีมที่มี Cash Flow มากที่สุดก็ได้รับรางวัลจากทีมอื่น ตามส่วนต่างของ Cash Flow นั้นๆ
Bonus Cash Flows
ตารางนี้เป็นตารางแสดง การไหลไปมาของ Bonus Cash Flow นะครับ
ตารางต่อไปเป็นตารางสรุปยอด Bonus CF ประจำอาทิตย์ครับ Column แรกที่ชื่อ Earn ก็คือ CF ที่ทีมนั้นๆทำได้นะครับ Bonus1 ก็คือรางวัลของทีมที่มี CF อันดับหนึ่ง และเช่นเดียวกัน Bonus2 ก็คือรางวัลของทีมที่มี CF อันดับสองครับ
Trader Performance Point
Trader Performance Point ประจำสัปดาห์ จะสังเกตุได้ว่ามีเทรดเดอร์เพียงท่านเดียวที่มีแต้มเพิ่มขึ้น อันนี้เนื่องจากการคิด Performance นั้นจะโยงอยู่กับ CF ที่ทำได้ ซี่งในอาทิตย์มีเทรดเดอร์ท่านเดียวที่ได้แต้มเพิ่มคือคุณ Ladtanan ครับ
สำหรับคุณ Rookie แม้ว่าจะเป็น CF แรกที่ทำให้ทีม Eagle แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ Net Bonus CF เป็นบวกได้ Trader Performance Point จึงยังคงอยู่ที่ศูนย์ครับ
สำหรับคุณ Ling คุณ Plameuk แต้มยังคงอยู่ที่เดิมเนื่องจาก CF ประจำตัวของแต่ละท่าน ไม่สามารถเอาชนะ CF ของเทรดเดอร์ทีมคู่แข่งได้
CF ประจำสัปดาห์ของคุณ Ling น้อยกว่า CF ประจำสัปดาห์ของ คุณ Plameuk และคุณ Rookie
CF ประจำสัปดาห์ของคุณ Plameuk น้อยกว่า CF ประจำสัปดาห์ของ คุณ Ladtanan
CF ประจำสัปดาห์ของคุณ Rookie น้อยกว่า CF ประจำสัปดาห์ของ คุณ Plameuk และคุณ Ladtanan
แต่เนื่องจากทางทีมงานเก็บข้อมูล Trader Performance Point แบบสะสม (cumulative) คุณ Plameuk และคุณ Ling จึงมีแต้มอยู่ที่เดิมครับ
Team Performance Point
ในสัปดาห์นี้เทรดเดอร์ประจำทีม Jaw ยังสามารถสร้าง CF ได้ครบทั้งสองท่านจึงทำให้ทีม Jaw มี Team Performance Point ต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์ที่สองครับ

น้องๆหลายคนถามเรื่องการเทรดด้วย Sense จำเป็นจริงมั้ย การเทรดแบบไม่ดู Real time จะช่วยเราได้จริงหรือ วันนี้พี่ในฐานะผู้ช่วยฝึกสอน หรือคนคุมการดูแลน้องๆในช่วงเลเวล 1 ถึง เลเวล 4 เลยจะมาเล่าว่าพื้นฐานมันช่วยพัฒนาการเทรด Realtime ได้ดีขึ้น
ในเลเวล 1 นั้นเป็นหัวใจพื้นฐานที่สำคัญมากๆ ในเรื่องของการเทรด และจะมีผลต่อการทำ Day Trade ของน้องในอนาคตด้วย เพราะเมื่อไรที่ผ่านมันมาได้ จิตใจของน้องจะไม่รู้สึกอะไรกับตลาดอย่างแท้จริง และ น้องเมื่อน้องสามารถเทรดตาม plan ของน้องแต่แรกได้ ทุกอย่างมันจะดูง่ายเมื่อมาเจอ Real Time เราก็แค่รอจังหวะในการ ยิงคำสั่งตาม plan ของเราแค่นั้น
ดังนั้นขอให้น้องๆรุ่นที่ 1 และ รุ่นที่ 2 ตั้งใจฝึก พยามรับรุ้อารมณ์ของตัวเองที่มีต่อตลาดให้มากที่สุด และพยามฝึกใช้การคาดการณ์ของตัวเองในการคาดการณ์ทิศทาง รวมทั้งความคิดของคนอื่น ไปด้วยในระดับนี้
แถมด้วย งานในส่วนของ Day Trade Skill ประจำวันของพี่ในวันนี้แล้วกัน เอามาแต่ส่วน Day Trade นะ อย่างอื่นทางพี่ Mudley จะไม่อนุมัติในการเอาออกมาแสดง (ยกเว้นพี่ Mudleyคนเดียวที่สามารถ แอบหยิบไปแสดงตาม pantipได้ ผมแอบเห็นนะเอ้อ 555) เพราะน้องๆหลายคนบอกอยากเห็นฝีมือ ทีมผู้ฝึกสอนเทรดเดอร์ของ MudleyGroup(ยังไม่ทันไรก็จะมาวัดกันแล้วหรือ) พี่ก็เลยพยามเลือกระดับตลาดที่มันง่าย 5555 สอดคล้องกับเลเวลของพี่ ซึ่งก็คือ เลเวล 5 ตลาด TFEX จึงเป็นตัวเลือกในการทำเงินที่ดีที่สุดสำหรับพี่ในตอนนี้ครับ ซึ่งพอเกินเลเวลนี้ เค้าก็จะไม่เล่นตลาดไทยกันแล้วครับ Move ไปยังตลาดอื่นที่มันท้าทายกว่า
** ดังนั้นน้องๆที่จะฝึกตาม หัวใจสำคัญเลยคือ ห้ามเทรด Real Time ครับ **